“ชีวิตปัจจุบันที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว จากสิ่งรอบข้างที่เปลี่ยนแปลงไปด้วความเร็วสูง”
เราทุกคนก็เลยต้องใช้ชีวิตเร่งรีบตามไปด้วย จนบางครั้งเราอาจรู้สึกเหมือนกับว่า “ช่วงเวลาแห่งความสุขของเรามันลดน้อยลงไปทุกที”
แล้วอะไรที่จะนำความสุขของเรากลับมาได้ ? คำตอบนั้นอาจเป็นการได้พบอะไรบางอย่างที่เป็นเหมือน “Hidden Pleasure หรือความสุขที่ซ่อนอยู่ “
ซึ่งรอให้เราออกเดินทางเพื่อตามหามันอีกครั้ง อาจไม่จำเป็นต้องเป็นที่ไหนไกล แต่เป็นรอบๆ บ้านของเราเอง บ้านของเรา ก็คือกรุงเทพฯ นี่แหละ
ที่ ๆ เหมือนเดิมในทุกวันแต่เราเชื่อว่าวันนี้มันจะเปลี่ยนไปและ “วันสุดสัปดาห์” ก็เป็นวันที่เราเลือกออกเดินทาง หลังจากทิ้งความเร่งรีบ ความเหนื่อยล้าจากการทำงาน ผู้คน
และสิ่งรอบตัวต่าง ๆ ที่เราไม่อาจควบคุมได้ วันนี้คงจะเป็นวันที่ดีที่สุดที่เราจะได้ปล่อยใจทิ้งความวุ่นวาย เพื่ออยู่กับตัวเองจริงๆ
เมื่อเริ่มออกเดินทาง
“แสงแรกของวัน” คือสัญญาณที่บอกว่า วันเดินทางวันนี้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว แสงของดวงอาทิตย์ดวงเดิม แต่ความรู้สึกของการมองแสงอาทิตย์ในวันนี้ กลับรู้สึกไม่เหมือนเดิม เพราะมันไม่ใช่แสงที่เป็นเหมือนนาฬิกาปลุกให้เรารีบตื่นไปทำงาน แต่เป็นแสงที่บอกให้เราค่อย ๆ เดินทางด้วยความไม่รีบเร่ง และไม่ต้องแข่งกับใคร นี่อาจจะเป็นความรู้สึกใหม่จากความหมายใหม่ที่เรากำหนดเองก็ได้
“หมวกกันน็อก ถุงมือ กล้องถ่ายรูป และมอเตอร์ไซค์”
คือเพื่อนร่วมทางที่น่าจะเหมาะสมที่สุด เราจะจอดในทุกที่ที่เราอยากจอด เราจะไปในเส้นทางที่เราให้เวลากับมันได้และเราจะทำให้ที่ที่เราจะเปลี่ยนจากแค่คำว่า “ขับผ่าน” เป็น “การใช้เวลากับมัน” ให้มากขึ้น
เราเริ่มต้นเส้นทางของวันด้วยการปักหมุดไปที่ ละติจูด – 13.7517733 ลองจิจูด – 100.495396
หมุดหมายของสามแพร่งแห่งวิถีชีวิต “แพร่งภูธร แพร่งนรา แพร่งสรรพศาสตร์’
ที่ที่เราคุ้นเคยในทุกวันของการเดินทางไปทำงาน
แต่วันนี้ความรู้สึกกลับไม่เหมือนเดิม จนเราสงสัยว่าจริง ๆ แล้ว
“ภาพนี้มันแปลกตา หรือแค่เราไม่เคยให้เวลาที่จะหยุดมองมัน”
แต่เมื่อเราจอดแวะ ถ่ายรูปกับสถานที่แถวนี้ เรากลับพบ “Hidden Feelings” ความรู้สึกลับ ๆ ที่เหมือนเป็นมนต์เสน่ห์ที่เราเองก็คิดไม่ถึง เราเห็นภาพสถานที่ที่ผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนานในรูปแบบสถาปัตยกรรมเก่า แต่วีถีชีวิตผู้คนเป็นแบบสมัยใหม่มากขึ้น เราเห็น MRT สามยอดที่ยังคงความดั้งเดิมของอาคาร แต่ภายในเต็มไปด้วยความทันสมัยจากเทคโนโลยี ซึ่งเอาจริง ๆ มันรวมกันได้อย่างลงตัว และเราเองก็รู้สึกดีที่ได้ให้เวลาตัวเราเองอย่างอิสระที่จะหยุดเพื่อซึมซับกับความรู้สึก และเก็บช่วงเวลาเหล่านั้นไว้อย่างที่เราต้องการ
เราพาตัวเราเองกับมอเตอร์ไซค์ไปจอดที่ถนนมหาชัย เส้นสำราญราษฎร์ และเห็นร้านกาแฟร้านหนึ่งที่ทำให้รู้สึกเหมือนพาเรากลับไปในช่วงเวลาความทรงจำเก่า ๆ ร้านเล็ก ๆ แต่เป็นเหมือน “Hidden Place” ที่ซ่อนกลิ่นอายความร่วมสมัยแบบสุด ๆ ท่ามกลางถนนที่ผู้คนผ่านไปมาด้วยความเร็ว แต่ถ้าคุณลองมองมาที่ร้านนี้ แค่หน้าร้านคุณก็จะรู้สึกถึงความช้าลงทันที “Petit Peyton” คือชื่อของร้านนี้ หรือเรียกเป็นภาษาไทยว่า “พิถีพิถัน”
พิกัดคือ ละติจูด 13.7522859 ลองจิจูด 100.5022099
อยู่ฝั่งตรงข้ามร้านผัดไทยประตูผีชื่อดัง ความรู้สึกของการแวะพักที่นี่
เรารู้สึกว่าไม่ได้แค่แวะกินกาแฟ
แต่คือการแวะซึมซับรสนิยมแห่งความคราฟต์ที่ถ่ายทอดตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ไม้และหนัง
บรรยากาศไฟสลัว กลิ่นหอมจากการชงกาแฟส่งต่อมาเป็นรสชาติของกาแฟที่เข้มข้น
จนทำให้เรารู้สึกว่าอยากใช้ชีวิตช้าลงอย่างพิถีพิถันจริง ๆ
“พอทำทุกอย่างช้าลง เวลาก็เยอะขึ้น” .. เราขับมอเตอร์ไซค์ไปรอบเส้นพระนครอีกครั้ง
แล้วจุดหมายของวันคราฟต์ ๆ นี้
ก็พาเรามาจอดที่พิกัดละติจูด 13.7565267 ลองจิจูด 100.4868762
กับหน้าร้านแผ่นเสียงร้านหนึ่งย่านพระอาทิตย์ “ร้านน้อง ท่าพระจันทร์”
“แผ่นเสียง” ให้อะไรกับเรามากกว่าเสียงเพลง ..
เสน่ห์บางอย่างของแผ่นเสียงเชื่อมโยงเราเข้าไปสู่ความรู้สึกของดนตรี
ทุกครั้งที่เราเลือกแผ่นเสียงหนึ่งไปวางบนเครื่องเล่น เรารู้สึกว่าเราไม่ได้กำลังฟังเพลง
แต่เรากำลังเดินทางไปกับเรื่องราวของดนตรี
ความหมายของคำร้อง และมิติของทำนองที่ความเร็ว ของช่องทางการฟังเพลงปัจจุบันให้ไม่ได้
ที่ร้านน้องท่าพระจันทร์แห่งนี้
เราว่ามันคือความสุขของคนที่ชอบเสียงเพลงแบบอนาล็อกสมัยที่เราต้องเก็บสะสมเทปคลาสเซ็ตของศิลปินที่ชื่นชอบ มาจนตามซื้อแผ่นซีดีเพลงพร้อมเล่นเพลงไปอ่านเนื้อเพลงหลังปกซีดีไป แต่พอวงการเพลงมาถึงจุดที่ฟังง่าย รวดเร็ว
ความบรรจงของการฟังเพลงก็หายไปด้วย และเมื่อวันนี้รถมอเตอร์ไซค์ได้พาเรามาที่นี่ เราก็อยากขอบคุณความบังเอิญของเส้นทางที่พาเรามาเจอความสุขของอดีตที่ซ่อนอยู่ “Hidden Past” ย่านพระอาทิตย์ที่ทำให้ความสุขของเรากลับมาอีกครั้ง
ซึ่งเอาจริง ๆ การฟังแผ่นเสียงมันก็เหมือนการขับรถมอเตอร์ไซค์เหมือนกันนะ
ที่ถ้าใส่ใจแต่ความเร็วมุ่งหน้าไปที่จุดหมายเราก็คงพลาดการรับรู้เรื่องราวระหว่างทาง
เราคงปักหมุดไปที่เพลงที่เราชอบหรือใส่ใจเพียงแค่จุดหมายปลายทาง
แต่เราคงไม่ได้สัมผัสเรื่องราวและความหมายของการเดินทางระหว่างทาง
เมื่อการเดินทางจบลง ความรู้สึกของวันนี้กลับเต็มอิ่มไปกับการเดินทางที่ไม่ได้ใส่ใจเพียงแค่จุดหมาย
แต่เป็นการสร้างความหมายให้กับเส้นทางและประสบการณ์ทั้งหมด เพียงแค่ช้าลง .. ความหมายของสิ่งรอบตัวก็เพิ่มขึ้น
และในวันนี้เราได้รู้แล้วว่า “Hidden Pleasure” ของเรา คือการที่เราได้ให้เวลากับเรื่องธรรมดา
และ ซึมซับความรู้สึก ณ ตอนนั้นในแบบของเราเอง
ลองหา “ความหมายใหม่ของการเดินทาง” ความหมายที่ไม่อาจบอกเป็นคำพูดเพื่อสื่อสารออกไปได้
แต่รอให้เราออกไปค้นหา ออกไปเพื่อตามหา #myhiddenpleasure ด้วยตัวเราเอง
เพราะบางที “ความสุขพิเศษที่คุณตามหา อาจเป็นที่เดิมที่คุ้นตาแค่คุณให้เวลามากกว่าเดิม” ก็ได้