“ไปอังกฤษอย่าลืมไปถ่ายรูปที่ ‘อลิซาเบธ ทาวเวอร์’นะ”
ถ้าพูดแบบนี้เชื่อว่าหลายคนเกิดคำถามว่า เอ๊ะ คือที่ไหนกัน
แต่ถ้าเราบอกว่า อย่าลืมไปถ่ายรูปที่ “บิ๊ก เบน”
ทุกคนต้องร้องอ๋อแน่นอน ซึ่งจริงๆแล้วนี่คือชื่อเดียวกัน
แต่ “บิ๊ก เบน” เป็นชื่อที่คนรู้จักกันดี และเป็นชื่อของระฆังยักษ์ที่ตั้งอยู่ในหอนาฬิกาแห่งนี้ด้วย
ซึ่งเสน่ห์ของหอนาฬิกานี้ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แลนด์มาร์ก
ของลอนดอนไปแล้ว
และเมื่อประมาณสองปีมาแล้ว หอนาฬิกาบิ๊กเบน ประกาศหยุดทำงานเพื่อบูรณะซ่อมแซม
และคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปี 2021
ดังนั้นในช่วงนี้ใครที่ผ่านไปเที่ยวที่อังกฤษก็อาจจะไม่ได้เข้าไปชมใกล้ๆ ซึ่งเราเองก็เช่นกัน
แต่ว่าวันนี้ไหนๆเราก็ไปที่นั่นแล้ว เราจึงขอเก็บภาพบรรยากาศโดยรอบ
มาฝากเพื่อนบ้านทุกคนกัน
การเดินทางมายังหอนาฬิกาบิ๊กเบนนี้ จริงๆเราสามารถลงสถานีรถไฟได้ 2 สถานี
สถานีแรกที่เป็นที่นิยมคือ “Westminster” ซึ่งจะอยู่ใกล้กับบิ๊กเบนมากๆ
ข้อดีคือ เราจะได้เห็นหอนาฬิกาแบบใกล้ชิด แต่ในวันนี้เราเลือกลงสถานี “Embankment” ซึ่งเป็นสถานีถัดมาที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย
และเมื่อลงสถานีแล้ว เราเดินข้ามสะพาน Hungerford and Golden Jubilee แล้วเดินย้อนกลับไปทาง London Eye
ซึ่งที่เราทำแบบนี้ก็เพราะเราจะได้เห็นรูปบิ๊กเบนในมุมกว้าง ได้รูปที่เห็นวิถีชีวิตผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาชัดเจนขึ้น
และจะทำให้เราทอดสายตามองวิวที่สวยงามของลอนดอนได้แบบสุดสายตาเลยทีเดียว
และเมื่อเราเดินมาเรื่อยๆ ยิ่งใกล้บิ๊กเบนเท่าไหร่ สิ่งที่น่าสังเกตอีกเรื่องหนึ่งก็คือ สีของนาฬิกาที่เดิมทีเป็นสีเข้มสวย
และให้อารมณ์ความรู้สึกถึงยุควิคตอเรียน ปัจจุบันนั้นสีของนาฬิกาเปลี่ยนไปจากควันของมลพิษ
คิดดูละกันว่า บิ๊กเบนสร้างมาตั้งแต่ปี 1834 และกว่า 157 ปี แล้วที่บิ๊กเบนทำงานแบบไม่มีวันหยุด
ทั้งควันและมลพิษต่างๆในเมืองหลวง ก็ค่อยๆเกาะจนเปลี่ยนสีไปจากเดิม
จนทำให้ต้องมีการบูรณะใหม่ทั้งสภาพภายนอกที่จะลอกสีดำและสีทองออกเพื่อเคลือบสีระฆังใหม่
เปลี่ยนลูกตุ้มนาฬิกาให้เที่ยงตรงขึ้น และบูรณะหลอดไฟให้สว่างไสวกว่าเดิม
และอีกไม่นานแล้วที่บิ๊กเบนจะกลับมาให้พวกเราชมอย่างใกล้ชิดอักครั้ง
แต่กว่าก่อนจะถึงวันนั้น บรรยากาศโดยรอบก็ไม่ได้สวยน้อยลงไปเลย