เพราะความงดงามตามธรรมชาติของ “สายรุ้ง” ไม่ต่างอะไรจากความงดงามของความหลากหลายในสังคม ในทุกวันเราอาจมองเห็นท้องฟ้าเป็นสีขาวในตอนกลางวัน และมองเห็นท้องฟ้าเป็นสีดำในตอนกลางคืน แต่ในความขาวดำที่เราเชื่อนั้น แท้จริงแล้วมันมีหลากหลายสีสันที่สดใสซ่อนอยู่ และรอคอยแค่วันที่จะ “มีตัวตน”
แต่ “การรอวันมีตัวตน” อาจจะเดินไม่ทันชีวิตที่มีเรื่องราวมากมายตลอดเวลา วันนี้เราจึงจะดึงสายรุ้งลงมาเป็นจานสี ให้เรื่องราวของชีวิตแทนสีต่างๆที่จะเทลงไป และหยิบพู่กันมาวาดสีสันในแบบที่ตัวเองเป็นและวันนี้เราก็ได้พบคนสร้างจานสีนั้นในแบบที่พวกเธอเป็น
คุณ “หญิง” ณสกุล เขื่อนแก้ว นักวิจัยตลาด และ คุณ “อากิ” ฐิดาภา นรามาศ ช่างแต่งหน้าอิสระ สองสาวผู้สร้างเรื่องราวความรักในแบบที่ตัวเป็น จากแอปพลิเคชั่นหาคู่ จนกลายเป็นคู่ชีวิตของกันและกัน ที่มีนิยามของตัวเองว่า “ความรักอาจจะไม่ใช่แค่เพียงความรู้สึก แต่คือ การเกื้อกูล ช่วยเหลือ เข้าใจ และยอมรับในกันและกัน”
“เราเจอกันในแอปพลิเคชั่นหาคู่นี่แหละ เอาจริงๆตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจจะเล่น แต่มันเป็นช่วงที่เราจะมูฟออนพอดี พอเราปัดไปแล้วไปแมตช์กับเขา เขาก็ทักมา เราตกใจเลย เพราะรูปโปรไฟล์ทำไมหน้าเหมือนเราจัง และพอคุยไปรู้สึกว่ามันถูกคอ เราคุยกันเข้าใจทุกเรื่องแค่คืนเดียว ทั้งเรื่องอดีต จนเรื่องที่มันลึกมากแบบคุยกับใครไม่ได้ เราเลยรู้สึกว่าต้องลองแล้วแหละ” คุณหญิงบอกเราถึงเรื่องราวการพบกันครั้งแรก
ความเข้ากันได้ด้วยความบังเอิญอาจเป็นจุดเริ่มแรก แต่จุดต่อไปที่จะสานต่อเรื่องราวของเธอทั้งสองคน มันคือการยอมรับคุณค่าในกันและกัน
สำหรับคุณอากิ ช่างแต่งหน้าอิสระสาวที่มีความรู้สึกว่าตัวเองชอบผู้หญิงมาตั้งแต่อนุบาล 3 และสามารถเปิดใจกับคุณแม่ได้ตั้งแต่ มอ.ห้า ว่าตนเองชอบเพศอะไร เนื่องจากเธอมีคุณแม่เป็นนักจิตวิทยา และคุณแม่ก็ยอมรับในตัวเธอได้อย่างเต็มร้อย แต่ในขณะเดียวกันเธอเองก็เคยลองคุยกับเพศตรงข้าม เพราะเธอลองมองภาพของอนาคตและภาพของสังคมที่ควรจะเป็น แต่สุดท้ายความมั่นคงในจิตใจก็เป็นฝ่ายชนะ
และเมื่อในวันที่คุณอากิได้เริ่มต้นกับคุณหญิง ภาพที่เธอมองว่าเธอต้องแต่งงานหรือมีลูก มันก็ได้แยกส่วนกันอย่างชัดเจน เพราะเธอมองว่าในตรงนี้ที่เธอทั้งคู่เป็น
มันคือดีที่สุดของกันและกัน
“พอมาถึงจุดหนึ่งของชีวิตเรา ปีนี้เราก็อายุสามสิบ แต่ก่อนเรามองที่ความรู้สึกว่าความรักต้องมีแต่ความรู้สึกดีๆ ความอบอุ่น แต่พอเราเจอหญิง เรารู้สึกว่ามันมากกว่านั้น มันคือการเกื้อกูลอย่างจริงใจ เราเหนื่อยมาเราเจอคนที่พร้อมซัพพอร์ตเราตลอดเวลา มันดีมากเลยนะ”
และในส่วนของคุณหญิงเองก็มองว่า ความรักของเธอทั้งสองคนมันเป็นคำนิยามที่ใครก็บอกไม่ได้ แต่มันคือความสมดุลในจุดที่เธอทั้งคู่โอเค
“เราคิดว่าความรักของเรามันคือการมองทั้งสองคนแบบไหน เรารับในข้อดีได้ แต่ข้อเสียล่ะเรารับได้ไหม รักกันมันต้องสมดุลอ่ะ ต้องหาจุดเชื่อมโยงเข้าหากัน แล้วเคารพกันและกัน มันถึงจะไปด้วยกันได้”
และวันนี้ เราคงไม่สามารถนิยามสีสันในแบบที่พวกเธอเป็นได้ แต่เราสามารถเห็นว่า เธอทั้งคู่ต่างเทสีของตัวเองลงไป เพื่อกลายเป็นอีกหนึ่งสีที่เกิดจากการรวมกัน ซึ่งไม่มีใครนิยามว่าสีที่เกิดขึ้นสวยหรือไม่ เพราะมันขึ้นอยู่กับความภูมิใจของเราเอง เหมือนที่คุณอากิมอง
“เราว่ามันต้องหาจุดภูมิใจในตัวเองให้ได้ก่อน เอาจริงๆเลยนะ เราก็เหมือนคนอื่นแหละ มันไม่มีอะไรสวยงามไปทั้งหมด มันก็มีคนที่ยังไม่ยอมรับเรา บอกว่าเดี๋ยวอีกหน่อยก็มีผัว เราก็มีบ้างที่อยากด่า แบบอยากอธิบายให้ฟังว่าสิ่งที่คิดมันไม่โอเค แต่มันต้องอธิบายไปตลอดชีวิตเลยใช่ไหม มันไม่เห็นเท่าเทียม แต่สุดท้ายถ้าเรากลับมามองตัวเราเอง แล้วหาจุดภูมิใจให้ตัวเองได้ เราจะเลิกสนคนอื่นไปเลย ถ้าเมื่อไหร่เรารู้ว่าตัวเราเป็นเรา เราไม่ต้องสนใจเลยว่าเราเป็นเพศอะไร ถ้าเราเป็นเราแล้วเราทำอะไรได้ดี ก็แค่เป็นเราต่อไปแค่นั้นเอง”
เช่นเดียวกับคุณหญิง ที่พวกเขาเติมเต็มความรักให้กันด้วยความเชื่อในกันและกัน
“มันคือการรักในตัวตนของกันและกัน มันก็คือ มนุษย์ มันแค่นั้นเอง ถ้าเกิดเราทุกคนเข้าใจตรงนี้เหมือนกัน ปัญหาเรื่องบูลลี่ เรื่องการแบ่งแยกมันไม่เกิดหรอก ถ้าทุกคนให้เกียรติตัวเองมากพอ รักตัวเองมากพอ เราจะเห็นความรักเต็มไปหมด จะอยากทำเรื่องดีให้ตัวเองและบางทีเผื่อไปให้คนอื่นด้วย เคยไหมที่อยู่กับใครสักคนแล้วรู้สึกเรามีพลังจังเลย มันก็คือความรักที่ดีมาก เขารักตัวเอง และส่งออกมาได้ไกลมาก”
และไม่ว่าเรื่องความเท่าเทียมทางเพศเป็นอย่างไร แน่นอนว่ามันจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขทางสังคม แต่เราสามารถทำให้เราเท่าเทียมขึ้นได้ อย่างน้อยก็ในใจตัวเอง เพราะถ้าเราหาจุดภูมิใจของเราเจอ ทั้งตัวเราเอง และความรักของเรา เราจะมีตัวตนและเราจะมีความหมาย
เพราะถ้าจานสีคือจุดเริ่มต้นของการสร้างงานศิลปะของชีวิต งานชิ้นนั้นจะสวยหรือไม่ไม่ได้อยู่ที่ “ใครให้ราคา” แต่อยู่ที่ “คุณตั้งราคาให้มันได้เท่าไหร่”